- ใช้เวลานานเท่าใด : 40 – 60 นาที
- เจ็บไหม : น้อย หรืออาจไม่เจ็บเลย ขึ้นอยู่กับปริมาณหินปูน แต่อาจมีเสียวฟันบ้างขณะขูด
- ควรขูดหินปูนบ่อยแค่ไหน : ทุกๆ 6 เดือน
- ค่าใช้จ่ายเท่าไร : ราคาขึ้นอยู่กับปริมาณหินปูนและคราบต่างๆ เช็คราคา ที่นี่
- ทำไมขูดหินปูนแล้วมีเลือดออก : บางตำแหน่งเหงือกอักเสบอยู่ก่อนแล้ว ขอบเหงือกอาจมนๆ เพราะอวบบวมด้วยเลือดและสารอักเสบ ความจริงมีเลือดออกอยู่แล้วในปริมาณน้อยๆ ตลอดเวลาในบริเวณนี้ ซึ่งคนไข้อาจจะรู้ตัวหรือไม่ก็ได้ สีของเหงือกจะแดงช้ำๆ ข้อสังเกตุอีกอย่างหนึ่งคือ เหงือกบริเวณนั้นมีเลือดออกง่าย การขูดหินปูนช่วยปลดปล่อยเลือดและสารอักเสบที่สะสมอยู่ให้ออกมาพร้อมๆ กับหินปูน หลังจากเลือดออกไปและผิวฟันสะอาดแล้ว เหงือกจะหายบวม เปลี่ยนจากสีแดงช้ำๆ เป็นสีชมพู แสดงถึงการที่เหงือกมีสุขภาพดีเลือดไม่ออกง่าย
- วัตถุประสงค์ของการจัดฟันคืออะไรและได้รับประโยชน์ในแง่ใด : การจัดฟันเป็นวิธีที่นำมาใช้รักษาผู้ป่วยที่มีการสบฟันผิดปกติ ซึ่งมีทั้งที่เกิดจากความผิดปกติของการเรียงตัวของฟันในขากรรไกรเดียวกัน ความผิดปกติของความสัมพันธ์ระหว่างฟันในขากรรไกรบนและล่าง หรือความผิดปกติของความสัมพันธ์ระหว่างฟัน ขากรรไกร และใบหน้า เช่น ฟันซ้อนเก ฟันห่าง ฟันหมุน ฟันล้ม ฟันที่ฝังอยู่ในกระดูกขากรรไกรไม่สามารถขึ้นมาได้ ฟันบนที่มีลักษณะยื่นออกมามากเมื่อเทียบกับฟันล่าง และใบหน้า หรือการมีฟันล่างสบคร่อมฟันบน เป็นต้น นอกจากนี้ในเด็กที่ได้รับการตรวจแล้วพบว่ามีปัจจัยที่จะเป็นสาเหตุชักนำหรือส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาไปสู่การสบฟันที่ผิดปกติ การจัดฟันสามารถลดปัจจัยเสี่ยงเหล่านั้นได้แต่เนิ่นๆ จึงเป็นการป้องกันที่ต้นเหตุ และยังช่วยให้มีพัฒนาการของการสบฟันและใบหน้าให้เป็นปกติทั้งในระยะฟันน้ำนม ฟันผสม และฟันแท้ จะเห็นได้ว่าประโยชน์ของการจัดฟันนอกจากจะมีผลโดยตรงทำให้การเรียงตัวของฟันและการสบฟันเป็นปกติสวยงาม และทำให้มีระบบบดเคี้ยวอาหารที่ดีแล้ว ยังมีผลประโยชน์ทางอ้อมอีกหลายอย่างด้วย เช่น ลดอัตราการเกิดฟันผุและเหงือกอักเสบ ช่วยส่งเสริมให้ข้อต่อขากรรไกรทำงานได้ดี ทำให้มีรูปหน้าและรอยยิ้มที่สวยงาม ผู้ป่วยจะรู้สึกมั่นใจและมีความสุขมากขึ้น
- อายุที่เหมาะสมสำหรับการจัดฟัน : ช่วงอายุที่เหมาะสมควรเริ่มตั้งแต่ระยะก่อนที่เด็กจะเข้าสู่วัยรุ่นเล็กน้อยประมาณ 10 – 14 ปี เพราะช่วงเวลาดังกล่าวจะมีการเจริญของกระดูกในร่างกาย ซึ่งรวมถึงกระดูกใบหน้าและขากรรไกรเป็นอย่างมาก ในบางกรณีการจัดฟันก็ต้องไปกระตุ้นหรือยับยั้งการเจริญของกระดูกใบหน้าและขากรรไกรร่วมด้วยเพื่อให้ผลการรักษาออกมาดีท้ังการสบฟันและใบหน้าที่สวยงาม
- ในผู้ใหญ่สามารถจัดฟันได้หรือไม่ และแตกต่างจากการจัดฟันในเด็กอย่างไร : การจัดฟันในผู้ใหญ่มักจะมีวัตถุประสงค์ที่นอกเหนือไปจากการจัดฟันในเด็ก เพราะนอกจากจะต้องการการสบฟันที่ดี มีรอยยิ้มและรูปหน้าที่สวยงามแล้ว ยังต้องการแก้ไขปัญหาอื่นๆ ที่มักเกิดในผู้ใหญ่ได้อีกด้วย เช่น ผู้ป่วยที่ถอนฟันไปนานๆ แล้วมีปัญหาฟันล้ม หรือฟันยื่นยาวลงมาในช่องว่างซึ่งเป็นอุปสรรคในการทำฟันปลอม ผู้ป่วยที่เคยถอนฟันบางซี่ไปแล้วแต่ไม่อยากใส่ฟันปลอม ซึ่งในบางกรณีสามารถใช้การจัดฟันมาช่วยให้ฟันเคลื่อนเข้ามาชิดกัน ทำให้ไม่ต้องใส่ฟันปลอมอีกเลย ผู้ป่วยที่มีปัญหาเหงือกอักเสบ เหงือกร่น ฟันกระจายห่าง มีช่องว่างระหว่างฟันหรือยื่นออกมาอย่างชัดเจน และในผู้ป่วยที่มีปัญหาข้อต่อขากรรไกรอันเนื่องมาจากการสบฟันที่ผิดปกติ การจัดฟันก็สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้
- ฟันซ้อนเกและการสบฟันผิดปกติเกิดจากสาเหตุใด และป้องกันได้อย่างไร : สาเหตุเกิดได้ทั้งจากกรรมพันธ์ุและที่ไม่ใช่กรรมพันธุ์ สาเหตุจากกรรมพันธุ์นั้นผู้ป่วยจะมีขนาดฟันและขากรรไกรที่ไม่สัมพันธ์กัน เช่น ขนาดซี่ฟันใหญ่แต่ขนาดขากรรไกรเล็กหรือแคบ หรือการมีความผิดปกติมาแต่กำเนิด เช่น ปากแหว่งเพดานโหว่ สาเหตุที่ไม่ใช่จากกรรมพันธ์ุที่พบบ่อย ได้แก่ การสูญเสียฟันน้ำนมไปก่อนกำหนดเนื่องจากฟันซี่นั้นผุมากจึงถูกถอนออกไปเร็วกว่ากำหนดทำให้ฟันข้างเคียงเคลื่อนเข้าสู่ช่องว่างนั้น ทำให้ช่องว่างดังกล่าวมีขนาดเล็กลงผิดปกติทำให้ฟันแท้ไม่สามารถขึ้นมาได้ หรือขึ้นมาในลักษณะซ้อนเก นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นๆ เช่น การมีหน่อฟันอยู่ผิดที่ การมีฟันเกิน การมีโทนของกล้ามเนื้อริมฝีปากและลูกคางมากกว่าปกติ
- ลักษณะนิสัยผิดปกติในเด็กที่จะส่งผลให้เกิดการสบฟันที่ผิดปกติมีอะไรบ้าง : ลักษณะดังกล่าวได้แก่ การดูดนิ้วหลังอายุ 4 ปีขึ้นไป การกัดหรือดูดริมฝีปาก การกลืนที่ผิดปกติ และการหายใจทางปาก ซึ่งอาจทำให้ฟันหน้าบนยื่น ฟันหน้าล่างซ้อนเก ฟันหน้าบนและล่างอ้าห่างออกจากกันไม่สามารถกัดอาหารได้ การมีฟันหลังในขากรรไกรล่างสบคร่อมฟันหลังในขากรรไกรบนร่วมกับการมีเพดานปากที่แคบและสูง ตลอดจนรูปหน้าที่ผิดปกติไป ไม่สวยงาม หากสังเกตุพบลักษณะนิสัยดังกล่าวแต่เนิ่นๆ ควรรีบพามาปรึกษาหมอจัดฟันเพื่อร่วมกันแก้ไขขจัดนิสัยเหล่านี้ให้หมดไปก่อนที่จะส่งผลเสียอย่างถาวรต่อการสบฟันและโครงสร้างใบหน้า
- ทำไมในบางกรณีหมอบอกว่าต้องถอนฟันแท้บางซี่ร่วมกับการจัดฟัน ถ้าไม่ถอนฟันได้หรือไม่ : การจัดฟันในบางกรณีก็จำเป็นต้องถอนฟันแท้บางซี่ออกไปเพื่อให้ได้ช่องว่างมาใช้ในการเรียงฟันที่ซ้อนเก หรือถอยฟันหน้าที่ยื่นออกมาด้านหน้าให้เข้าไปด้านใน หรือเพื่อปรับตำแหน่งให้ฟันทางซีกซ้ายและขวาสมมาตรกัน แต่สามารถหลีกเลี่ยงการถอนฟันได้บ้างในบางกรณี โดยใช้อุปกรณ์จัดฟันที่เป็นหลักยึดบางลักษณะ หรือใช้หลักยึดชนิดที่เป็นสกรูติดกับกระดูกในส่วนที่รองรับฟัน จะใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมเป็นกรณีไป
- จัดฟันใช้เวลานานเท่าใดจึงจะเสร็จสมบูรณ์ : ระยะเวลาในการจัดฟันขึ้นอยู่กับลักษณะและความรุนแรงของความผิดปกติของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปการจัดฟันที่ไม่ต้องถอนฟันร่วมด้วยจะใช้เวลาประมาณ 12 ครั้ง กรณีที่ต้องถอนฟันร่วมด้วยจะใช้เวลาประมาณ 20 – 24 ครั้ง โดยแต่ละครั้งจะห่างกัน 1 – 2 เดือน
- ผู้ป่วยควรปฏิบัติตัวอย่างไรระหว่างจัดฟัน ใส่เหล็กจัดฟันแล้วมีความยุ่งยากและทำให้พูดไม่ชัดหรือไม่ : ควรดูแลความสะอาดในช่องปากให้ดี แปรงฟันให้สะอาดหลังอาหารทุกมื้อและก่อนนอน หลีกเลี่ยงอาหารแข็งหรือเหนียวเพราะอาจทำให้เครื่องมือจัดฟันหลุดได้ทำให้ใช้เวลาในการรักษานานขึ้น ให้ความร่วมมือในการใส่ยางจัดฟันหรืออุปกรณ์เสริมที่หมอแนะนำ การจัดฟันไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้พูดไม่ชัด ปัญหานี้น่าจะเกิดจากการที่ยังไม่ชินกับการมีเครื่องมือจัดฟันติดอยู่ในปากในระยะแรกๆ ของการจัดฟัน
- ในกรณีใดบ้างที่ต้องมีการผ่าตัดร่วมด้วยในการจัดฟัน : การจัดฟันร่วมกับการผ่าตัดกระดูกขากรรไกรจะทำในกรณีที่คนไข้มีการสบฟันที่ผิดปกติอันเนื่องมาจากความผิดปกติของตำแหน่งกระดูกขากรรไกรและใบหน้าที่รุนแรง ซึ่งจะมีรูปหน้าที่ผิดปกติไปอย่างชัดเจน กรณีนี้เราไม่สามารถเคลื่อนเฉพาะฟันให้มาอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องสวยงามได้เพราะกระดูกขากรรไกรยังอยู่ในตำแหน่งที่ผิดปกติอยู่ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องมีการผ่าตัดร่วมด้วยเพื่อจัดตำแหน่งของกระดูกขากรรไกรบนใบหน้าให้ถูกต้องเหมาะสมและเกิดการสบฟันที่ถูกต้องตามมา ตัวอย่างเช่น คนไข้ที่มีขากรรไกรล่างเจริญเติบโตออกมาทางด้านหน้ามากเกินไป จะมีลักษณะใบหน้าด้านข้างเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว มีคางยื่นชัดเจน ฟันล่างยื่นออกมาสบคร่อมฟันบนอย่างรุนแรง กรณีเช่นนี้จำเป็นต้องจัดฟันและใช้การผ่าตัดร่วมด้วยเพื่อจัดวางขากรรไกรล่างที่ยื่นออกมาด้านหน้าให้ถอยหลังกลับเข้าสู่ตำแหน่งที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับขากรรไกรบนและใบหน้า ผู้ป่วยจะมีการสบฟันที่ถูกต้องและมีใบหน้าที่ดูเป็นปกติมากขึ้น
- การจัดฟันแฟชั่นซึ่งเป็นที่นิยมมากในเด็กวัยรุ่น มีอันตรายหรือไม่ : การจัดฟันแฟชั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเพราะนอกจากจะไม่ได้ประโยชน์จากการจัดฟันแล้วยังอาจได้รับอันตรายอีกด้วยทั้งจากอุปกรณ์และการปลอดเชื้อที่ไม่ได้มาตรฐาน และผู้ที่ให้บริการจัดฟันแฟชั่นมักจะไม่ใช่ทันตแพทย์จัดฟัน ซึ่งขาดความรู้และไม่มีความชำนาญ ดังนั้นฟันอาจถูกดึงไปในทิศทางที่ผิด ทำให้ฟันดีๆ เสียหายได้ และการแอบอ้างเป็นผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขมีความผิดตามกฎหมายอีกด้วย ทั้งนี้ก่อนจัดฟันควรสังเกตุว่า สถานพยาบาลนั้นต้องได้รับใบอนุญาตประกอบสถานพยาบาลและผู้ให้บริการนั้นต้องเป็นทันตแพทย์ที่ได้รับใบประกอบโรคศิลป์ และเป็นทันตแพทย์เฉพาะทางจัดฟัน จึงจะมีความปลอดภัยและได้รับผลการรักษาที่ดีจากการจัดฟัน
